วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มะเขือเทศ



ปลูกเมื่อ : June 2010 (ประมาณ 3 สัปดาห์ก่อน)

เช้านี้ก่อนมาทำงานแฟนผมบอกว่า เย็นี้จะทำขนมจีนน้ำเงี้ยวกินกัน.....ว่าแล้วก็โชว์มะเขือเทศ ที่ซื้อมาจากตลาดต้นยาง เมื่อวานให้ดู มีอยู่ 4 ลูก ขนาดลูกใหญ่กว่าหัวแม่มือผมเล็กน้อย (ซึ่งก็คาดว่าจะเล็กกว่าคนอื่นๆ เพราะผมตัวไม่ใหญ่มา) บอกว่าซื้อมา 5 บาท ตกราคาลูกละ 1 บาทเศษ.......

นึกถึงสมัยเป็นเด็ก ที่บ้าน (ป่าป้อง) ตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนมาไปช่วยย่ารดน้ำสวนผักเกือบทุกวัน หนึ่งในนั้นก็คือมะเขือเทศ ซึ่งมีค่อนข้างมาก......ราคาก็ไม่ต้องพูดถึง ให้กันเปล่าๆ หากไม่มี ข้างๆ บ้านก็มา ขอ-ให้ กันเป็นเรื่องปกติ

สัก 3 สัปดาห์ที่แล้ว.....ก็ไปซื้อเมล็ดมะเขือเทศมากจาก BigC จะลองเอามาปลูกดู ก็ใช้กระถางเล็กยาว (ตามรูป) ที่ซื้อมาไว้นานแล้ว เจาะรูที่พื้อนกระถางให้แตก เพื่อให้ระบายน้ำ (เนื้อกระถางแข็ง แตกยากมาก คราวหลังจะไม่ซื้อแบบนี้แล้ว) แล้วนำเมล็ดมะเขือเทศหยอดในหลุม เป็นหลุม ตลอดแนวยาว ตอนแรกไม่คิดว่าจะงอกมากขนาดนี้......

มานึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนสมัยเด็กๆ ย่าจะใช้วิธีหว่านเมล็ด ในถังน้ำเก่าๆ ใช้ดินกลบบางๆ ทับด้วยฟางเล็กน้อย พอต้นกล้างอกและโตพอสมควรก็แยก ออกมาปลูกในแปลงที่ขึ้นไว้......พอนึกขึ้นได้ดังนั้น เมือเสาร์ที่ผ่านมา จึงไปหาซื้อดินจะมาแยกมะเขือเทศปลูก (จนเป็นเหตุให้ได้ต้นบัวดดินมาปลูกอีกชุด) ที่สำคัญเจ้ากระถางที่จะใช้ปลูกนี่สิ ที่บ้านก็ไม่ค่อยมี จะหาซื้อมาปลูกใหม่ก็ใช่ที่ เพราะคิดว่าคงไม่คุ้มที่จะปลูกมากๆ ก็เลยไปเอากระถางพลาสติดดำเก่าๆ ที่ติดมากับต้นไม้ที่ซื้อ มาใช้เพาะดู เล็กบ้างใหญ่บ้าง....แต่ก็ยังเหลือกล้าที่อยู่ในกระถางยาวจากการเพาะเมล็ดอีกตั้งเยอะ ยังไม่รู้ว่าจะไปเพาะที่ไหน.......

จะคอยลุ้นดูว่า มะเขือเทศ ที่ปลูกเอง จะออกผลได้ขนาดไหน.....เพราะที่ผ่านมายังปลูกพืชสวนครัว ไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ยกเว้นพวกต้นหอม-ผักชี ที่ปลูกง่ายหน่อย
(เห็นแฟนบอกว่าถ้าผลออก จะเอาไปแบ่งให้แม่ค้าที่ตลาด ......ขอให้โตสักต้นก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากันใหม่)


..........................................................................................
Knowledge from web :
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Plantae
อาณาจักรย่อย Tracheobionta
ส่วน Magnoliophyta
ชั้น Magnoliopsida
ชั้นย่อย Asteridae
อันดับ Solanales
วงศ์ Solanaceae
สกุล Solanum
สปีชีส์ S. lycopersicum
ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum lycopersicum L.

มะเขือเทศ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lycopersicon esculuentum Mill.) :
เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด

ลักษณะ :
เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น
ชื่ออื่น : มะเขือ (ทั่วไป) มะเขือส้ม (ภาคเหนือ) ตรอบ (สุรินทร์) น้ำเนอ (เชียงใหม่)

ประโยชน์ :
มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้
มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีเบต้าแคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิคสูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย
รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม
ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย

หนุมานนั่งแท่น




ปลูกเมื่อ : 25/6/53

ชื่อนี้ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าถูกต้อง เนื่องจากสอบถามจากคุณป้าในหมู่บ้านที่มีบ้านถัดไปอีก 2-3 หลัง เห็นบอกว่าจำได้ว่าชื่อ "หนุมานนั่งแท่น" แต่ชื่อที่รู้มาจากน้า และ แม่ คือ "หัวละมาน" ชื่อดีทีเดียว เพราะน่าจะแปลความหมายได้เป็น การสละแล้วซึ่งมาร (กิเลส)....

ที่บ้านมีต้นเล็กๆ อยู่แล้ว 1 ต้น, ต้นแรกเอามาจากบ้านแม่ (เกือบตายแล้ว) แฟนนำมาใส่ดินให้เสียใหม่ โดย ให้ส่วนหัวโผล่ออกมาจากดิน กลบเฉพาะรากนิดหน่อย ปรากฏว่าออกใบงอกงามดี
ต้นที่ปลูกใหม่นี้ขุดมาจากบ้านน้า ที่ป่าป้อง, ที่บ้านน้ามีแต่ต้นใหญ่ๆ แต่หัวไม่ค่อยสวย ตอนไปส่งน้ากลับบ้าน (จากงานบ้านใหม่แม่) แวะขุดเจ้าต้นเล็กๆ นี้มาลองปลูกดู


ตั้งแต่ตอนเล็กๆ เห็นปู่กับย่า บอกว่ายางของต้นนี้ (เอามีดกรีดที่ส่วนหัวแล้วจะมียางออกมา) สามารถรักษาแผลมีดบาดได้ชะงัดนัก ก็น่าจะจริงเพราะคิดว่ามีใช้ไปรักษามาก เห็นได้จากที่หัวของมันจะมีรอยมีกกรีดอยู่หลายๆรอย
กะว่าจะเอาไว้ปลูกโชว์อย่างเดียว ไม่คิดอยากจะใช้งานหรอก........

..........................................................................................
Knowledge from web :

ชื่อพื้นเมืองอื่น: ว่านเลือด (กลาง), หัวละมานนั่งแท่น (ตะวันตก)
ชื่อสามัญ: Gout stalk
ชื่อวิทยาศาสตร์: Jatropha podagrica Hook.
ชั้น: Magnoliopsida
ตระกูล: Euphorbiales
ชื่อวงศ์: Euphorbiaceae
ลักษณะ : ไม้พุ่มมีน้ำยางใส ขนาดสูงประมาณ 1.5 – 3 เมตร ใบเดี่ยวขนาดใหญ่แผ่กว้าง ขอบใบเว้า 3 หรือ 5 แฉก ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีดอกย่อยหลายดอก แต่ละดอกมีกลีบสีส้มจำนวน 5 กลีบ ผลสดสีเขียว เมื่อแก่ไม่แตกจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
สรรพคุณ : น้ำยาง ยาพื้นบ้านล้านนา ใช้ทารักษาแผลมีดบาด ช่วยห้ามเลือด รักษาฝี เมล็ด มีพิษ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เกล็ดมรกต (กวักมรกต)



ปลูกเมื่อ : June'10

จริงๆ แล้ว ลึกๆผมไม่ค่อยชอบพืชตระกูลนี้เท่าไหร่ เพราะลักษณะก้านใบและใบที่เรียบๆไม่ซับซ้อน แข็งๆ ทื่อๆ ดูภาพรวมของต้นดูโล่งๆ แต่ที่ซื้อมาปลูกก็เพราะพักหลังๆ นี้เห็นคนนิยมค่อนข้างมาก และปลูกเป็นไม้มงคล เคยไปเห็นที่บ้านหลังหนึ่งที่ลวงเหนือ ลักษณะกอใหญ่มาก พอกอใหญ่แล้วทำให้ดูสวยงาม ยิ่งปลูกลงกระถางที่ดูดี ทำให้รู้สึกถึงความเป็นเจ้าสัวของเจ้าของขึ้นมาทันใด.......

วันที่ไปซื้อบัวสวรรค์ เห็นที่ร้านเดียวกันมี เจ้าเกล็ดมรกต นี้อยู่จำนวนหนึ่ง แต่เป็นต้นเล็ก ๆถึงเล็กมาก ราคา 45 บาท/ถุง (ในใจก็คิดว่าแพงแล้ว) ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะชอบของถูกๆ แต่สวยถูกใจ (ซึ่งก็น่าจะหายากเนาะ) เราก็ยังไม่ตายใจ ไปถามอีก 2-3 ร้านถัดไป ก็ดูเหมือนว่าจะมีต้นใหญ่อีกนิดหน่อยขายอยู่เหมือนกัน แต่ราคาก็ 80 บาทขึ้นไป/ต้น (คิดอยู่ในใจว่าถ้ากอใหญ่เท่าที่เห็นที่บ้านคุณลุง ที่ลวงเหนือราคาน่าจะเอาเรื่องพอดู.......

สุดท้ายตัดสินใจซื้อจากร้านแรก มาลองปลูก 1 ต้น (คัดดูแล้วว่าเป็นต้นสมบูรณ์ที่สุด เ่ท่าที่มีแล้ว) ลองดูซิว่าจะโตไวได้ขนาดไหน?

.........................................................................................
Knowledge from web :

กวักมรกต (Zamioculcas Zamifolia)

กวักมรกต ไม้งาม...นามเป็นมงคล รูปทรงสวยงาม เลี้ยงง่าย แถมยังช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน เหมาะสำหรับนำมาเป็นไม้ประดับในอาคาร บ้านเรือน และในออฟฟิศ เพราะสามารถอยู่ได้ในที่ที่แสงน้อย ลักษณะใบเป็นมัน แตกกอและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ คุณย่าปลูกไว้กระถางหนึ่ง ตอนนี้กำลังแตกกอสวยงามมาก ช่วงแตกใบอ่อนใบจะม้วนซ้อน ๆ กันคล้ายคล้ายดอกกุหลาบ บอกได้คำเดียวว่าสวยมาก
การปลูก ใช้ดินทั่วๆ ไป ผสมทราย แกลบดำ ขี้เถ้าดำผสมมะพร้าวสับ รดน้ำไม่ต้องมากนัก ใช้ปุ๋ยละลายน้ำรดเดือนละครั้ง

ไผ่ฟิลิปปินส์

วันนี้พอว่างหน่อย...ไหนๆ ก็เริ่มเขียน blog เกี่ยวกับต้นไม้ที่ปลูกเองแล้ว....ขอเพิ่มอีกซึกเรื่องนะ..



จริงๆแล้วเจ้าไผ่ฟิลิปินส์ต้นนี้ซื้อมานานแล้วละ (สัก 2 ปี เห็นจะได้) ซื้อมาตั้งแต่กอเล็กๆ จากร้านของอาจารย์ (แม่วัง) เป็นพันธ์ดั้งเดิมสีเขียว ตอนนั้นซื้อมาน่าจะราคา ุ60 บาท เห็นจะได้...... ที่เห็นตอนนี้คนมักจะนิยมพันธ์ที่เป็นลายด่างเสียมากกว่า....
หากถามผม....ผมชอบสีเขียวแบบนี้มากกว่าเพราะดูร่มรื่น และคลาสสิกดี (ใช้คำนี้เพราะอธิบายความชอบไม่ถูก)
เจ้าต้นนี้เป็น 1 ในไม่กี่ต้นที่ผมชอบมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะกอดูสมบูรณ์มาก สมส่วน... กะว่าจะหาโอกาสเปลี่ยนกระถางให้ใหม่เสียหน่อยเพราะดูเล็กไปเสียแล้ว


วันที่ปลูกเจ้า "บัวดิน" เลยถือโอกาสลอง ติดโคนเจ้าไผ่มา 2-3 ต้น มาลองเพาะดู ....ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านจากที่ไหนสักที่หนึ่งมาสามารถ นำมาแช่น้ำให้เกิดรากได้คล้ายๆกับโกสน.....ก็เลยนำมาพันกับเศษผ้าและแช่ลงขวด เก็บไว้ที่มุมหลังบ้าน ว่าจะขยายพันธ์มันได้ไหม????

.........................................................................................
Knowledge from web :

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dracaena surculosa Lindl.
ชื่อวงศ์ : Agavaceae
ชื่อสามัญ : Gold-dust dracaena, Spotted dracaena
ชื่อพื้นเมือง : อรชร
ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้พุ่ม
ขนาด [Size] : สูง 2-3 เมตร
สีดอก [Flower Color] : สีขาวนวล
ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : -
อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : ปานกลาง
ลักษณะนิสัย [Habitat] : ดินร่วนระบายน้ำได้ดี
ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง-สูง
แสง [Light] : แดดรำไร
ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นกลม ตั้งตรง แตกกอ

ใบ (Foliage) : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบแตกตรงส่วนยอดของลำต้น ครั้งละ 2-3 ใบ ใบรูปรีถึงรูปไข่ กว้าง
2-6 เซนติเมตร ยาว 6-20 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบแหลมถึงสอบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน มีจุด
สีขาวปนเขียวอ่อนกระจายทั่วไป ก้านใบสั้น

ดอก (Flower) : สีขาวนวล มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 18 เซนติเมตร โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด
ผล (Fruit) : ผลสด ทรงกลม ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร สีส้ม เมล็ดสีขาวถึงน้ำตาลอ่อน

การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : ปลูกเป็นไม้ประธานสวนหย่อม ปลูกริมน้ำตก ลำธาร

ดอกกระเจียว (บัวสวรรค์)


ปลูกเมื่อ : June'10

ตอนแรกไม่รู้ว่า ต้นที่ซื้อมาปลูกนี้ ก็คือ "ดอกกระเจียว" นี่เอง... เพราะตอนที่ไปร้านต้นไม้เขาบอกว่าชื่อ "บัวสวรรค์" เราก็ OK เพราะใบดอกเป็นกลีบคล้ายๆ ดอกบัวแต่ดอกออกจะแหลมๆ ไม่ตูมเหมือนดอกบัว... ราคาก็ไม่แพง ถุงละ 20 บาท (มี 2-3ต้น) น่าจะเป็นพืชที่มีหัวเหมือนกันนะ ...
ที่ซื้อมามี 2 สีครับ สีขาวและชมพู (ออกม่วงหน่อยๆ) ดูแล้วก็สวยดีครับ
ตอนนี้ก็ปลูกลงกระถาง แยกกันอยู่ ดูซิว่าจะชอบแบบไหน ต้นสีขาวเอาไว้ที่ศาลา (ค่อนข้างร่มหน่อย) ต้นสีชมพูเอาไว้แถวโรงรถ ปลูกมาเกือนเดือนแล้ว ดอกยังไม่มีทีท่าว่าจะโรย (ตั้งแต่ซื้อมาก็มีดอกแล้ว )แถมเจ้าสีชมพูยังออกดอก ผุดออกมาเพิ่มอีก 2-3 ดอก

..................................................................................................
Knowledge from web :

ปทุมา หรือ กระเจียว หรือ ทิวลิปสยาม (อังกฤษ: Siam Tulip) เป็นพืชล้มลุกมีเหง้าอยู่ในดิน จะพักตัวในฤดูหนาวและร้อน เมื่อถึงฤดูฝนจะเริ่มผลิใบและดอก ต้นสูงประมาณ 2 ฟุต ใบยาวคล้ายใบพายดอกสีเหลืองในแดง กาบดอกสีม่วง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Curcuma alismatifolia
ชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ: กาเตียว (ตะวันออกเฉียงเหนือ), จวด (ใต้), อาวแดง (เหนือ)
การดูแล: ปลูกในที่อากาศชื้นเย็น ดูแลไม่ให้ดินเสียความชื้นโดยการคลุมแปลงปลูก
การขยายพันธุ์: แยกหน่อ
ประโยชน์: ดอกกระเจียวมีสีสันและรูปร่างสวยงาม นิยมตัดดอกขาย

อาณาจักร พืช (Plantae)
ส่วน พืชดอก (Magnoliophyta)
ชั้น พืชใบเลี้ยงเดี่ยว (Liliopsida)
อันดับ Zingiberales
วงศ์ วงศ์ขิง Zingiberaceae
สกุล สกุลขมิ้น (Curcuma)
สปีชีส์ ปทุมา (C. alismatifolia)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma alismatifolia Gagnep.

บัวดิน


ปลูกเมื่อ : 31/6/53

ซื้อมาจากร้านคุณป้าที่ข้างตลาดต้นยาง, ตอนแรกกะว่าจะเอามอเตอร์ไซด์ไปซื้อเฉพาะดินมาปลูกมะเขือเทศ ที่เพาะไว้สัก 2 ถุง (เห็นฝนกำลังตกปลอยๆ อากาศกำลังดี) แต่พอไปจริงๆ ห้ามใจไม่อยู่ (อีกแล้ว) ขอแวะสำรวจร้านของป้าว่ามีอะไรแปลกๆ หรือเปล่า ก็ไปเจอ "บัวดิน" นี่แหละ... ร้านคุณป้ามีทั้งสีชมพูและสีเหลือง ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยเจอสีเหลือง (ที่ปูนลำปางก็มีเฉพาะสีชมพู ออกดอกสวยเต็มไปหมด) ดอกสีชมพูมีอยู่ 2 แบบ คือก้านสั้นและก้านยาว (ดอกใหญ่) แต่พวกก้านยาวจะค่อนข้างเอนง่ายไม่แข็งแรงเหมือนก้านสั้น เนื่องจากต้องรับน้ำหนักก้านที่มากกว่า

ซื้อมาลองปลูกแค่ 5 กอมีดอก 2-3 ดอก (ถุงดำ) คุณป้าคิดถุงละ 10 บาท และแถมให้ 1 ถุง เลยเลือกสีละ 3 ถุงมาลองปลูก

เท่าที่เห็นน่าจะออกดอกไม่ค่อยนาน สักอาทิตย์ก็น่าจะโรยแล้ว....
"บัวดิน" เป็นพืชที่มีหัว เหมือนหัวหอม (โดยเฉพาะสีเหลืองใบจะกลมเผมือนต้นหอมเลย, แต่สีชมพูใบจะแบนเหมือนต้นกุยช่าย) แต่เห็นคุณป้าบอกว่ามันไม่ยุบ เหมือนจำพวกขิง ซึ่งต้องขุดหัวออกมา เพราะถ้าเจอน้ำตอนที่เป็นหัวจะเน่า .....สำหรับบัวดินเห็นป้าบอกว่าถ้าดอกหมด แล้วให้ตัดใบออกให้สั้น เพื่อเตรียมรับดอกใหม่

ปลูกที่บ้านข้างๆต้นโกสนใบขนุน

.........................................................................................
Knowledge from web :

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zephyranthes spp.
วงศ์ : Amarylieaceae
ชื่อสามัญ : Zephyranthes
ชื่ออื่น ๆ : Zephyranthes Lily, Rain Lily ,Fairy Lily, Little Witches, บัวสวรรค์, บัวดิน, บัวฝรั่ง


ข้อมูลทั่วไปและประวัติ

โดยธรรมชาติแล้วในต่างประเทศบัวสวรรค์จะออกดอกในช่วงฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะหลังฝนตกไม่กี่วัน จึงได้ชื่อว่า Rain Lily และออกดอกอยู่เพียงวัน หรือ 2 วัน หลังจากนั้นก็จะเหี่ยวแห้งหายไปอย่างรวดเร็ว จึงถูกเรียกว่า Fairy Lily เพราะไปเร็วมาเร็วเหมือนกับนางฟ้า บัวสวรรค์นั้นเดิมมีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง ,อเมริกาใต้ หรือ เม็กซิโก
ในประเทศไทยได้ชื่อว่าบัวสวรรค์ เนื่องจาก ปกติ จะไม่มีใครสนใจสังเกตเห็นต้นบัวสวรรค์เลย แต่พอ จู่ ๆ ฝนตกเพียงไม่กี่วัน บัวสวรรค์จะออกดอกพร้อมกันดูสะพรั่งไปหมด จึงทำให้คิดว่า เป็นดอกไม้มาจากสวรรค์ อีกทั้งการชูก้านดอกและสีดอกคล้ายดอกบัวสีแดง
ในต่างประเทศ ส่วนมากใช้ปลูกประดับในสวนหิน เนื่องจากพุ่มต้นเตี้ย ดอกเด่น หรือ ปลูกตามขอบสนามหรือ แนวรั้ว ทั้งนี้เพื่อให้มีดอกสวยงามในฤดูฝน


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

บัวสวรรค์เป็นไม้หัว ขนาดเล็กเป็นไม้ล้มลุกกิ่งยืนต้น หัวมีลักษณะกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 นิ้ว ต้นเจริญ จากหัว มีใบยาวเรียว บางชนิดใบแบน บางชนิดใบกลม ความยาวของใบ 6-12 นิ้ว ในประเทศหนาวพอเข้าฤดูหนาว บัวสวรรค์จะทิ้งใบหมด คงเหลือแต่หัวอยู่ในดิน พอเข้าปลายฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนจึงเริ่มงอกต้นใหม่ ส่วนในประเทศแถบร้อน เช่น เมืองไทย ถึงหน้าแล้วบัวสวรรค์จะหยุดการเจริญเติบโต แต่ไม่ถึงกับทิ้งใบ แต่จะอยู่เฉย ๆ ไม่ออกดอก มองดูคล้ายต้นหญ้า แต่พอเข้าฤดูฝน เมื่อได้รับน้ำฝน จึงจะแทงช่อดอกและออกดอกดูสวยงามมาก ดอกเป็นรูปกรวย มี 6 กลีบ การจัดเรียงของกลีบดอกเป็นแบบสลับ ดอกแบบชั้นเดียว มีก้านดอกยาว 4-12 นิ้ว ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว เหลือง และชมพู


การขยายพันธุ์

ใช้เมล็ด
โดยการแบ่งแยกหัวไปปลูก


การปลูกและการดูแลรักษา

ดินที่ใช้ปลูกต้องปรับปรุงให้โปร่ง ร่วนซุย กักเก็บความชื้นดี แต่น้ำไม่ขังจนแฉะ
วางหัวในแนวตั้ง กลบดินนิดหน่อยเพียงเพื่อรักษาความชื้นไว้เท่านั้น ไม่ควรปลูกลึกเพราะจะทำให้หัวเน่าได้ แต่ถ้าปลูกตื้นเกินไป ต้น อาจล้มได้
รดน้ำวันละครั้งในช่วงเข้า
ถ้าเป็นหัวขนาดใหญ่จะเริ่มออกดอกประมาณ 15วัน และหัวขนาดกลางและเล็กจะใช้เวลานานขึ้น
การบังคับให้บัวสวรรค์ออกดอก ใช้หลักการ dry & wet เหมือนกับที่ใช้กับไม้หัวโดยทั่ว ๆไป คือ ถ้าเราไม่ต้องการให้ออกดอก ก็งดน้ำติดต่อกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ควรต่ำกว่า 15 วัน ในช่วงนี้ อาหารจะถูกเก็บสะสมที่หัว และหลังจากนั้นจึงค่อยรดน้ำ ตาดอกจะเจริญทันที และจะออกดอกหลังจากรดน้ำเพียง 5-7 วัน

ข้อมูลจาก http:flowersandherbs.cscoms.com/