วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

ดีปลากั้ง


ตอนแรกก็เข้าใจผิดว่าชื่อ "ดีหมี"
ไม่แน่ใจว่าเป็น ชื่อเรียกตามภาษาเหนือ หรือ ทั่วๆไป, แต่ที่แน่ๆ คนทางภาคเหนือน่าจะพอคุ้นๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบกินลาบ (ลาบเหนือนะครับ) ครั้งแรกที่ได้ลองกิน ก็เนื่องมาจากไปซื้อลาบหมู (สุกนะครับ) ที่ร้านอุ้ยทา แถวๆ แพะหนองแดง..... พอได้กินจะได้รสชาด ที่ชัดเจนที่สุด คือรสขม ที่ปนด้วยรสหวานเฉียบ.....ขมและหวานจนติดลิ้น (ต้องได้ลองเองถึงจะเข้าถึง).....

ต้นนี้ได้มา ก็เนื่องจากไปซื้อลาบร้าน อุ้ยทา เหมือนเดิม ..... ก็คุยกับอุ้ย (แม่ครัว) เรื่องต้นดีปลากั้งอยู่...พอดีไปเจอกับเพื่อโรงปูนด้วยกัน (พี่ประสิทธิ์)...พอเขารู้ว่าเราสนใจ เขาก็ใจดีมาก ยกต้นกล้าที่กำลังเพาะให้ต้นหนึ่ง (เอามาให้ที่ทำงานตอนหลัง)..... ถึงแม้คิดว่าราคาจะไม่ได้แพงมากนัก (คิดว่า) แต่เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่เราต้องการอย่างมาก ...ทำให้เรารู้สึกดีใจสุดๆ ....ต้นนี้อนุบาลไว้ที่หลังบ้าน (ใกล้ต้นกล้วย) ให้ราก/งอก มากๆ หน่อยจะลงกระถางสวยๆ......

อยากให้พ่อ ได้ชิมจัง!!!





....................................................................................
ข้อมูลจาก web :

ชื่อพื้นเมือง : ดีปลากั้ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barleria strigosa Willd.
ชื่อวงศ์ :ACANTHACEAE
ลักษณะทั่วไป: "สังกรณี" ถูกบรรจุเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง เพราะมีสรรพคุณทางยาพื้นบ้านหลายขนาน โดยในหมู่ของชาวล้านนาที่ใช้ทั้งต้นมาต้มน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากผสมสมุนไพรตำรับที่ 5 ต้มดื่มน้ำเช่นกัน เป็นยาร้อนสามารถขับน้ำคาวปลาหลังคลอดบุตรได้ ขณะที่ตามตำรายาไทยใช้รากต้มน้ำดื่ม แก้ไข้ แก้โลหิตกำเดา แก้ร้อนในกระหายน้ำ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ เป็นต้น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กกึ่งล้มลึก อยู่ในวงศ์CANTHACEAE ลำต้นตรง เปลือกต้นสีเทา เรียบ สูงราว 30-100 ซม. ใบ เป็นใบเดี่ยวขึ้นเรียงตรงข้ามตามต้น รูปทรงรี กว้าง 4-7 ซม. ยาว 10-15 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบ 5-7คู่ ดอก ออกเป็นช่อที่ซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อมีดอกย่อยเล็กจำนวนมาก ดอกย่อยไม่มีก้าน เวลาบานกลีบดอกย่อยสีม่วงแกมน้ำเงิน ที่ปลายกลีบแยกเป็นสองปาก มีกลีบเลี้ยงปลายแยกเป็น 4 แฉก ผล รูปทรงแบน พอแก่จัดจะแห้งและแตกได้ในที่สุด พืชชนิดนี้ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
สรรพคุณ : ราก - ต้มแก้ไข้และแก้หืดหอบโรคความดัน
ลำต้น - ต้มบำรุงโลหิตบำรุงธาตุขับลมในลำไส้
ใบ - ใช้ปรุงอาหาร มีรสขม ใบอ่อน
ยอด - สด รับประทานกับอาหารประเภท ลาบ ป่น ต้มจิ้มน้ำพริก แก้โรคเบาหวานดอกใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายลมและเรอ

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ธรณีสาร


หลังจากที่เสาะหา "ธรณีสาร" มาปลูกอยู่ เกือบครึ่งปี... และแล้วก็มาพบ (โดยบังเอิญ) ที่งานฤดูหนาว ที่ลำปางนี่เอง.....ราคาก็ไม่แพงเท่าหร่ ต้นละ 50 บาท (แต่คนขายเขาบอกว่า แพงขึ้นมากแล้ว ตั้งแต่หมอลักษณ์ ฟันธงไว้ เมื่อต้นปีที่แล้ว ... ก่อนนั้นราคาแค่ต้นละ 10 บาท ยังไม่ค่อยมีคนซื้อเลย....ผ่านมา 1 ปี ที่บ้านเราก็เพิ่งมี 1 ต้นนี่แหละ...... ตอนแรก ที่ซื้อไม่ใช่ เพราะตามกระแส อะไรหรอก (เพราะถ้าตาม...ก็คงตามอยู่มากโข ก็ผ่านมาเป็นปีแล้วนี่นา).....ก็จากการหาข้อมูลสรรพคุณ จาก web นี่แหละ.....
........จุดที่ปลูก... เป็นจุดที่เคยขุดไว้ กะว่าจะปลูกต้นโคมญี่ปุ่น นั่นแหละ...แต่ขุดไปได้แค่ 1 ฝ่ามือ ก็ท้อแล้ว ต้องเลิกขุดเลย เพราะเจอว่า พรรคพวกที่สร้างบ้าน ดันเทคอนกรีต (เหลือทิ้ง) เป็นแผ่นยาวเลย......ก็เลยใช้การปลูกกระถางแทน...ตั้งใจปลูกตรงจุดนี้ เพราะเป็นบริเวณที่ว่าง....ปล่อยว่างแล้วรู้สึกว่าขาด..ไม่สวย และเป็นบริเวณหน้าบ้าน .....ดูรวมๆแล้วก็น่าจะเหมาะดีนะ.....................

5/2/11 update รูปปัจจุบัน ตอนนี้ออกดอกเกือบทุกก้านเลยครับ


............................................................................................
ข้อมูลจาก web :

ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus pulcher Wall
วงศ์ EUPHORBIACEAE
ชื่อท้องถิ่น ชาวบ้านทั่วไปเรียก เสนียด ธรนีสาร เชียงใหม่เรียกว่า มะขามป้อมดิน ชาวจีนเรียก เอี้ยเอโท้

ลักษณะของพืช »
ต้นธรณีสารนี้นับว่าเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดเล็กพันธุ์หนึ่ง เป็นพันธุ์ไม้ที่แตกแยกกิ่งก้านออกไปอย่างสวยงาม เป็นพุ่ม ลำต้นและ
กิ่งก้านสูงประมาณ 1 ฟุต นับว่าเตี้ยมาก ใบสีเขียวใบไม้สด คล้ายกับไบมะยมแต่เล็กกว่าใบมะยม คือใบจะกว้างใหญ่ขนาดใบแคเท่านั้นเอง แยกออกมาจากลำต้น ดอกเล็กๆ สีแดงมีกลีบ 6 กลีบด้วยกันแต่อยู่ที่ใต้ใบ เรียงคู่กันไป แล้วจะเป็นฝัก มองดูแปลกดีเหมือนลูกใต้ใบ

การปลูก »
ต้นธรณีสารนี้ปลูกกันโดยทั่วไป ส่วนมากเป็นตามวัดวาอารามและตามบ้านในชนบท เพราะปลุกง่ายดูแลก็ไม่ยาก การขยายพันธุ์ก็แยกต้นออกไปปลูกก็ได้ เพาะเมล็ดก็ได้ พอเป็นกล้าไม้ก็เอาไปปลูกในถุงพลาสติกจนเติบโตแข็งแรงดีจึงเอาไปปลูกในหลุมที่มีปุ๋ยคอกรองก้นหลุม รดน้ำพรวนดินกำจัดศัตรูพืชให้ดี ในระยะแรก

ส่วนที่ใช้เป็นยา »
นิยมเอาไปทำการปัดรังควาญด้วยการเอาใบและก้านมาใช้ประพรมน้ำมนต์แก่ผู้คนทั่วไปเพื่อทำการปัดรังควาญและเอาสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากร่างกายเอาเสนียดจัญไรออกไปให้หมด ยังไม่ปรากฎว่าเอาส่วนใดของต้นพืชชนิดนี้ไปปรุงเป็นยาเลย

โคมญี่ปุ่น


ปลายปีที่แล้ว (ดูเหมือนนานนะ) ,มีโกาสได้ไปโครงการหลวง ดอยอินทนนท์ เพื่อไปเลี้ยงส่งพี่และน้อง ที่จะย้ายไทำงานแถวภาคกลาง , ดูเหมือนเราก็คงจะถึงคิว ในอีกไม่นานแล้วเหมือนกัน เพราะอยู่ที่ลำปางนี่ก็เกือบจะ 5 ปีแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่มีโอกาสมาค้างที่นี่...... ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบ เพราะที่นี่ จัดสวนได้สวย และมีพันธืไม้แปลกๆ เยอะอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเฟริ์นและไม้เมืองหนาว.....


ขากลับ คราวนี้ได้ซื้อเจ้าต้นโคมญี่ปุ่น มา 3 ต้น (2 พันธ์ุุ) มาลองปลูกที่บ้านดู..... ตอนแรกก็ไม่อยากจะซื้อเพราะกลัวจะไม่ถูกับอากาศแถวลำปาง เพราะหน้าร้อนจะร้อนจัดเอามากๆ......แต่ยังไงก็ลองปลูกดู อย่างมากก็ตาย......เพราะชอบดอกของโคมญี่ปุ่น เพราะสวยมาก สีสดใส.....นับตั้งแต่วันที่ปลูก (24/12) นับได้ก็ 12 วันแล้ว... แต่ดอกก็ยังไม่ร่วม และมีดอกเล็กๆ ออกมาอีก (ก็ใช้ได้เกินคาดแล้ว).....ตัวต้นก็ยังสดชื่น ไม่มีอากการโรย.....นี่ถ้าผ่านหน้าร้อนนี้ไปได้ ก็สุดยอดแล้ว..........

....ที่ซื้อมามี 2 พันธ์ (จากรูป, ซึ่งอาจจะไม่ค่อยชัด เนื่องจากถ่ายตอนค่ำแล้ว) คือ ดอกสีบานเย็น+ม่วง และอีกต้น สีขาว+ชมพู .......ดูแล้วก็สวยทั้งคู่ >>>> เพิ่มสีสรร ให้บ้านได้อย่างมากเลย !!!!

................................................................................................................................
information searched from web :

ดอกไม้พันธุ์นี้ เรียก ตุ้มหูนางฟ้า เพราะกว่า น่ารักกว่า และสอดคล้องกับลักษณะอันแสนงามมากกว่า เรียกว่าโคมญี่ปุ่น ลองชมความงามของเขาซี แล้วจะไม่อยากเรียกว่า โคมญี่ปุ่นหร็อก เพราะเขางามเหมือนตุ้มหูของนางฟ้า ที่หยาดลงมาจากฟากฟ้าจริง ๆจะเห็นว่า นางฟ้ามีตุ้มหูหลายแบบ หลายสไตล์ ต่างกันทั้งในด้านรูปพรรณสัณฐาน และสีสันที่สวยงาม ดอกไม้พันธุ์นี้จึงสมควรเรียกว่า "ตุ้มหูนางฟ้า" จริง ๆ
ชื่อพื้นเมือง ตุ้มหูนางฟ้า , โคมญี่ปุ่น
ชื่อสามัญ Fuchsia, Lady's Eardrops
ชื่อวิทยาศาสตร์ Fuchsia hybrids
วงศ์ ONAGRACEAE
ฟุกเซีย หรือ ฟิวเซีย เป็นไม้ดอก ลำต้นมีทั้งชนิดพุ่มและชนิดเลื้อย บางพันธุ์มีลำต้นสีแดงเลือดหมู ใบรูปไข่หรือใบหอก ขอบจักฟันเลื่อย ดอกเดี่ยวหรือออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ดอกรูปถ้วยคว่ำ กลีบเลี้ยงรูปรีแกมไข่ มี 4 กลีบ ปลายโค้งขึ้น กลีบดอก 4 กลีบหรือมากกว่า ซ้อนเกยกันอยู่กลางดอก กลีบดอกมีสีขาว ชมพู แดง ม่วง และสองสีในดอกเดียวกัน ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำกิ่ง